วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ชาเขียวมีดีตรงไหน

          ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Epigallocatechin Gallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษและยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อนตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก 
การชงชาให้ได้รสชาติดี มีข้อสำคัญ 4 ประการ คือ
1.            ปริมาณใบชา จะใช้ใบชาเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของใบชา เช่น ชาที่มีรูปกลมแน่น กลมกลวม หรือเป็นเส้น ถ้าใช้ใบชาที่มีลักษณะกลมแน่น จะใช้ชาประมาณ 25 % ของกาชา ใบชาเมื่อแช่อยู่ในน้ำร้อน จะเริ่มคลี่ตัวออกทีละน้อย จนเป็นใบชัดเจน ถ้าใส่มากเกินไป จะทำให้การคลาย ตัวไม่สะดวก ซึ่งรสชาติที่ชงออกมาจะไม่ได้ตามมาตรฐานของชานั้นๆ และ การเสียของใบชา เมื่อคลายตัวออกมาเต็มที่ ควรจะมีปริมาณประมาณ 90% ของกาชา
2.            อุณหภูมิน้ำ น้ำที่ชงชาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเดือด 100 องศาเซลเซียส แต่ต้องดูว่าจะชงชาประเภทใด เช่น อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะสำหรับชงชาที่ทรงแน่นกลม อุณหภูมิ 80 - 90 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับชาที่มีรูปร่างบอบบาง แตกหักง่าย หรือชาที่มีใบอ่อนมาก อุณหภูมิต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียส ใช้ชงกับชาเขียวทั่วๆไป
3.            เวลา การใช้เวลานานหรือไม่นานนั้น จะบอกได้ว่า น้ำชาจะอ่อนหรือ แก่ โดยปกติประเภทกลมแน่น จะใช้เวลาในครั้งแรกประมาณ 40 - 60 วินาที ครั้งต่อๆไป เพิ่มอีกครั้งละ 10 - 15 วินาที/ครั้ง
4.            กาชา กาที่ใช้ควรเป็นกาที่ทำจากดินเผา กาดินเผาจะเก็บความร้อน ได้ดีกว่า และให้การตอบสนองที่ดีกว่ากาที่ทำจากวัสดุอื่น

ปัจจุบันมีการตื่นตัวหันมาดูแลสุขภาพกันอย่างกว้างขวางและจากคุณสมบัติในการป้องกันโรค ชาเขียวนับเป็นหนึ่งในอาหารสุขภาพที่ได้รับความสนใจอย่างมากในยุคนี้ ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นรู้จักการดื่มชาเป็นอย่างดีและชาที่นิยมดื่มกันมากที่สุดแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตได้เป็น 3 ชนิด คือ ชาดำ ชาอูหลงและชาเขียว
ต้นชามีชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า “Camellia Sinensis”ที่เป็นที่นิยมจะปลูกในพื้นที่สูง อากาศเย็น มีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ใบชาที่มีคุณภาพดีจะเป็นส่วนยอดอ่อนของต้นชา(ใบอ่อนสองใบแรกเท่านั้น)ใบชาจากต้นชาเดียวกันสามารถนำมาผลิตชาได้ทั้ง 3 ชนิด
1.            ชาดำ(Black Tea) เป็นชาที่นำใบชามาอบแห้ง 16 ชั่วโมง จากนั้นบดด้วยลูกกลิ้งและหมักจนได้ใบชาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำจึงนำไปอบแห้งอีกครั้ง
2.            ชาอูหลง(Oolong Tea) เป็นชาที่ผ่านกระบวนการผลิตเหมือนชาดำแต่มีการหมักเพียงบางส่วน ใช้ระยะเวลาสั้นกว่าจึงมีสีน้ำตาลไม่เข้มเหมือนชาดำ ชาอูหลงจะมีกลิ่นหอม รสชาติชุ่มคอ

3.            ชาเขียว(Green Tea) เป็นชาที่ไม่ผ่านขั้นตอนการหมักเลยเพราะเมื่อเก็บใบชามาได้จะนำมาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อทองแดง โดยใช้ความร้อนไม่สูงเกินไปนักและใช้มือคลึงเบาๆก่อนแห้ง หรืออบไอน้ำในระยะเวลาสั้นๆแล้วนำไปอบแห้งเพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์จึงทำใบชามีความสดและยังมีสีเขียวอยู่มาก การที่ใบชาไม่ผ่านขั้นตอนการหมักทำให้ใบชายังมีวารประกอบฟีนอล(Phenolic compound) หลงเหลืออยู่มากกว่าชาดำและชาอูหลง ทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าด้วย

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีเก็บรักษาใบชา


วิธีเก็บรักษาใบชา ควรเก็บในที่แห้ง ณ อุณหภูมิห้องในภาชนะที่ปิดสนิทและปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

  1. บรรจุซองฟอยด์ให้รีดลมออกให้หมดเพื่อมิให้กลิ่นกระจายหายและคงให้ใบชาสดใหม่อยู่เสมอ
  2. บรรจุภาชนะอื่น ภาชนะนั้นต้องทึบแสง เช่นกระป๋องไม้หรือกระป๋องอะลูมีเนียม หลีกเลี่ยงการเก็บใบชาไว้ในภาชนะที่แสงสามารถลอดผ่านได้ เนื่องจากมีผลเสียต่อใบชา
  3. ภาชนะนั้นๆต้องปราศจากกลิ่นแปลกปลอมใดๆเนื่องจากใบชามีคุณสมบัติดูดกลิ่นอย่างดี ดังนั้นควรทำความสะอาดภาชนะนั้นด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้งจนแน่ใจว่าสะอาดที่สุดแล้ว
  4. ไม่ควรวางไว้ใกล้สถานที่ที่มีกลิ่นรุนแรงหรือกลิ่นแปลกปลอมต่างๆ



วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประวัติของชาเขียว

ชามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนกว่า 4,000 ปีมีแล้ว กล่าวคือเมื่อ 2,737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาได้ถูกค้นพบโดยจักรพรรดินามว่า เสินหนง ซึ่งเป็นบัณฑิตและนักสมุนไพร ผู้รักความสะอาดเป็นอย่างมาก ดื่มเฉพาะน้ำต้มสุกเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่เสินหนงกำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่า และกำลังต้มน้ำอยู่นั้น ปรากฏว่าลมได้โบกกิ่งไม้ เป็นเหตุให้ใบชาร่วงหล่นลงในน้ำซึ่งใกล้เดือดพอดี เมื่อเขาลองดื่มก็เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ชาเขียวถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆในช่วงศตวรรษต่างๆดังนี้
ช่วงศตวรรษที่ 3
ชาเป็นยา เป็นเครื่องบำรุงกำลังที่ได้รับความนิยมมากในช่วงศตวรรษที่3ชาวบ้านก็เริ่มหันมาปลูกชากันและพัฒนาขั้นตอนการผลิตมาเรื่อยๆ
ช่วงศตวรรษที่ 4 และ 5
ชาในประเทศจีนได้รับความนิยมมากขึ้นและได้ผลิตชาในรูปของการอัดเป็นแผ่นคือ การนำใบชามานึ่งก่อน แล้วก็นำมา กระแทก ในสมัยนี้ได้นำน้ำชาถึงมาถวายเป็นของขวัญแด่พระจักรพรรดิ
สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - 906
ถือเป็นยุคทองของชา ชาไม่ได้ดื่ม เพื่อเป็นยาบำรุงกำลังอย่างเดียว แต่มีการดื่มเป็นประจำทุกวัน เป็นเครื่องมือเพื่อสุขภาพ
สมัยราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ. 960 - 1279)
ชาได้เติมเครื่องเทศแบบใน สมัยราชวงศ์ถังแต่จะเพิ่มรสบางๆ เช่น น้ำมันจากดอกมะลิ ดอกบัว และดอกเบญจมาศ
สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - 1644)
ชาที่ปลูกในจีนทั้งหมดเป็นชาเขียว สมัยนั้นกระบวนการผลิตชาได้พัฒนาขึ้นไปอีก ไม่อัดเป็นแผ่น แต่มี การรวบรวมใบชา นำมานึ่ง และอบแห้ง ซึ่งจะเก็บได้ไม่ดีนัก สูญเสียกลิ่นได้ ง่าย และรสชาติไม่ดี ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีการค้าขายกับชาวยุโรป การผลิตเพื่อจะรักษาคุณภาพชาให้นานขึ้น โดยได้คิดค้นกระบวนการที่ เราเรียกว่า การหมัก เมื่อหมักแล้วก็จะนำไปอบ ซึ่งก็เป็นที่มาของชาอูหลง และชาดำ ในประเทศจีน มีการแต่งกลิ่นด้วย โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้


ประเภทของชาเขียว มี 2 ประเภท
   1. ชาเขียวแบบญี่ปุ่น ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา ชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง
   2. ชาเขียวแบบจีน ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกะทะร้อนวิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชาจะสูญเสียไปเกือบหมดถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานจนเกินไป ส่วนปริมาณของแคลเซียม เหล็ก และวิตามินซีจะสูญเสียไปประมาณครึ่งหนึ่ง

เพราะอะไรคนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวเย็น !!


ชาเชียวเป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี ในขณะที่คนไทยพึ่งรู้จักกันไม่เกิน 10 ปี มานี้เอง คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนๆกันก็เพราะได้มีการพิสูจน์แล้วว่าชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายของคนเรา โดยขับออกมาทางอุจจาระและขับไขมันส่วนเกินออกทางปัสสาวะและอุจจาระ ชาเขียวซึ่งสามารถขับพิษและลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน แต่คนไทยนิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น อาจเป็นเพราะว่าหาซื้อได้ง่ายและคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียว ชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อยอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันหากดื่มชาเขียวในขณะที่เย็นนั้นทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวเย็นนอกจากไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษออกจากร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือดและอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ เป็นต้น